พื้นที่12681.259 ตารางกิโลเมตร
จำนวนประชากร 112268 ครัวเรือน
ประชากรชาย 144302
ประชากรหญิง 139836
ประชากรรวม 144302
ประวัติความเป็นมา
จากหลักฐานทางโบราณคดี หลักฐานเรื่องราวที่เป็นบันทึก ตำนาน พงศาวดาร คำบอกเล่าสืบต่อกันมา ประกอบกับโบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน พอสรุปการตั้งถิ่นฐานของผู้คนในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้
การตั้งถิ่นฐานของผู้คนยุคก่อนประวัติศาสตร์
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นได้จากที่ต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน อาทิ หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นได้ในถ้ำแถบอำเภอปางมะผ้า ซึ่งพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ กระดูกสัตว์และเมล็ดพืชที่ใช้เป็นอาหารมากมายหลายชนิด เช่น เมล็ดน้ำเต้า แตงกวา ถั่วฝักยาว ข้าวเปลือก เป็นต้น เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหิน เช่น เครื่องมือหินขัดเป็นขวานหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เครื่องมือหินกะเทาะ ขวานหิน เป็นต้น เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากเหล็ก เช่น ห่วงเหล็ก ขวานด้ามสั้น สิ่ว เป็นต้น ลูกปัด เศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ เศษภาชนะดินเผาลายขูดขีด โลงที่ทำขึ้นโดยการขุดเจาะท่อนไม้ซุงลักษณะคล้ายเรือหัวท้ายตัด เรียกว่า “โลงผีแมน” หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นได้บริเวณตำบลหมอกจำแป่ ตำบลปางหมู และตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งพบขวานหินกะเทาะ เครื่องมือหินกะเทาะ เครื่องมือสะเก็ดหิน เป็นต้น บ่งบอกว่าพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคหินเก่าตอนปลาย (32,000 ปี มาแล้ว) ถึงยุคโลหะ-เหล็ก (1,100 ปีมาแล้ว)
ภาพเขียนโบราณ
โลงผีเเมน
โครงกระดูกมนุษย์โบราณ
การตั้งถิ่นฐานของผู้คนยุคประวัติศาสตร์
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พอสรุปได้ว่า ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีชาวพื้นเมืองที่มีวัฒนธรรมประเพณีและภาษาพูดเป็นของตัวเอง เช่น กะเหรี่ยง ม้ง มูเซอ ลีซู ละว้า เป็นต้น ตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ตามที่ราบระหว่างหุบเขาและพื้นที่สูง มีชีวิตความเป็นอยู่ผูกพันกับป่าเขาแม่น้ำ อยู่รวมกันเป็นชุมชนหมู่บ้าน เมื่อบริเวณใดมีผู้คนหนาแน่นขึ้น ที่ทำกินไม่พอ ก็จะออกแสวงหาทำเลใหม่ให้ทำมาหากินได้โดยสะดวก และมีผู้คนที่อพยพมาจากบริเวณใกล้เคียง อาทิ คนไต (ไทใหญ่) จากรัฐฉาน คนเมืองจากเชียงใหม่ เป็นต้น เข้ามาตั้งหลักแหล่ง แสวงหาทำเลที่ทำกิน เมื่อมีผู้คนมากขึ้นก็รวมตัวอยู่กันเป็นชุมชนหมู่บ้าน ผู้คนที่อาศัยตามที่ราบส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขามักจะเป็นชาวพื้นเมือง
บริเวณตัวอำเภอปาย แต่เดิมเรียกว่า บ้านดอน ก่อตั้งขึ้นประมาณปี พ.ศ. 1800 ตรงกับสมัยอาณาจักรล้านนา โดยชาวไทใหญ่ชื่อพะก่าซอ ได้รวบรวมคนจากเมืองต่าง ๆ ในประเทศพม่าเข้ามาสำรวจและก่อตั้งหมู่บ้านจนเป็นชุมชนขนาดใหญ่ กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนาคิดจะยึดเป็นเมืองขึ้น จึงนำทัพมาตีอยู่หลายครั้งหลายสมัยก็ไม่สามารถยึดได้ จนประมาณปี พ.ศ. 2020 พระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนา ได้ให้แม่ทัพชื่อศรีใจยา ยกทัพมาตีบ้านดอนได้สำเร็จ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าชัยสงครามปกครองบ้านดอนในเวลาต่อมา
ประมาณ ปี พ.ศ. 2374 ตรงกับสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และสมัยของพระยาพุทธวงค์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 4 เจ้าหนานมหาวงศ์ (พระเจ้ามโหตรประเทศ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 5 ขณะเป็นอุปราช) ต้องการช้างป่าไว้ใช้งาน จึงให้ “เจ้าแก้วเมืองมา” เป็นแม่กองนำไพร่พล ช้างต่อ และหมอควาญ ออกเดินทางไปตรวจชายแดนด้านตะวันตกของนครเชียงใหม่และจับช้างป่ามาฝึกใช้งาน เจ้าแก้วเมืองมายกกระบวนเดินทางรอนแรมจากเชียงใหม่ผ่านไปทางเมืองปาย ใช้เวลาหลายคืนจนบรรลุถึงป่าโปร่งแห่งหนึ่งทางทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำปาย เป็นบริเวณที่มีหมูป่าลงมากินโป่งชุกชุม เจ้าแก้วเมืองมาพิจารณาเห็นว่าที่แถวนี้เป็นทำเลที่ดี น้ำท่าบริบูรณ์ สมควรที่จะตั้งเป็นหมู่บ้าน จึงหยุดพักอยู่ ณ ที่นี้ และเรียกผู้คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมห้วย ริมเขาซึ่งเป็นชาวไทใหญ่และกะเหรี่ยง (ยางแดง) มาประชุมชี้แจงให้ทราบถึงความคิดที่จะตั้งบริเวณนี้ขึ้นเป็นหมู่บ้าน และบุกเบิกที่ดินที่เป็นไร่นาที่ทำมาหากินต่อไป เจ้าแก้วเมืองมาแต่งตั้งให้ชาวไทใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความรู้ดีกว่าคนอื่นในหมู่บ้าน ชื่อว่า “พะกาหม่อง” ให้เป็น “ก๊าง” (คือตำแหน่งนายบ้านหรือผู้ใหญ่บ้าน) คอยควบคุมดูแลและให้คำแนะนำลูกบ้านในการดำเนินการต่อไป พะกาหม่องได้ชักชวนเกลี้ยกล่อมพวกที่อยู่ใกล้เคียงให้ย้ายมาอยู่รวมกัน แล้วตั้งชื่อหมู่บ้านนั้นว่า “บ้านโป่งหมู” (ต่อมาเพี้ยนเป็นปางหมู) เมื่อจัดตั้งหมู่บ้านแล้ว เจ้าแก้วเมืองมาก็ยกขบวนเดินทางตรวจชายแดนและคล้องช้างป่าต่อไปจนถึงลำห้วยแห่งหนึ่ง มีรอยช้างป่าอยู่มากมาย ก็หยุดคล้องช้างป่าได้หลายเชือก และตั้งคอกสอนช้างในร่องห้วย ริมห้วยนั้นเป็นพื้นที่ราบกว้างขวาง พื้นดินดีกว่าบ้านโป่งหมู และมีชาวไทใหญ่อาศัยอยู่เป็นอันมาก เจ้าแก้วเมืองมาเห็นว่าเป็นทำเลที่เหมาะสมพอจะตั้งเป็นหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง จึงเรียกชาวไทใหญ่คนหนึ่งจากบ้านโป่งหมูคือ “แสนโกม” บุตรเขยของพะกาหม่อง ให้มาเป็นหัวหน้าเกลี้ยกล่อมผู้คนให้มาอยู่รวมกันจนกลายเป็นหมู่บ้าน เรียกว่า “บ้านแม่ฮ่องสอน” เมื่อเจ้าแก้วเมืองมาคล้องช้างป่าได้พอสมควรแล้วก็เดินทางกลับนครเชียงใหม่ พะกาหม่องและแสนโกมได้ชักชวนผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงให้อพยพครอบครัวมาตั้งบ้านเรือนอยู่ทำมาหากินจนแน่นหนาขึ้นเป็นหมู่บ้านใหญ่ ต่อมาพะกาหม่องและแสนโกมเห็นว่าบริเวณนั้นมีไม้สักมาก หากตัดเอาไม้สักไปขายประเทศพม่าโดยใช้วิธีชักลากลงลำห้วย แล้วปล่อยให้ไหลลงแม่น้ำคง (แม่น้ำสาละวิน) ก็คงได้เงินมาช่วยในด้านเศรษฐกิจและการบำรุงบ้านเมือง เมื่อปรึกษาหารือกันดีแล้ว พะกาหม่องและแสนโกมจึงเดินทางมาเข้าเฝ้าพระเจ้ามโหตรประเทศ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เพื่อกราบทูลขออนุญาตตัดฟันชักลากไม้ไปขาย แล้วจะแบ่งเงินค่าตอไม้ตอบแทนถวายตลอดปี พระเจ้ามโหตรประเทศทรงอนุญาต พะกาหม่องและแสนโกมจึงได้ทำไม้ขอนสักส่งไปขายที่เมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า ได้เงินมาก็เก็บแบ่งถวายพระเจ้ามโหตรประเทศทุกปี และนำมาใช้บำรุงบ้านเมือง และประโยชน์ส่วนตัว บ้านโป่งหมู่และบ้านแม่ฮ่องสอนก็เจริญขึ้นตามลำดับ
ปี พ.ศ. 2399 ตรงกับสมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 6 หัวเมืองไทใหญ่ที่ตั้งอยู่แถบฝั่งแม่น้ำคง (แม่น้ำสาละวิน) ด้านตะวันตกในประเทศพม่า อาทิ เมืองจ๋ามก่า เมืองหมอกใหม่ เป็นต้น เกิดการจลาจล รบราฆ่าฟัน มีชาวไทใหญ่อพยพเข้ามาอยู่ที่บ้านปางหมูและบ้านแม่ฮ่องสอน บางพวกอพยพลงไปทางใต้อาศัยอยู่ที่บ้านขุนยวม (หมู่บ้านไทใหญ่บนภูเขา) บางพวกอพยพเลยขึ้นไปทางเหนือไปอยู่ที่เมืองปาย การอพยพครั้งนั้นมีชาวไทใหญ่ผู้หนึ่งชื่อ “ชานกะเล” (ตามตำนานคนไทใหญ่กล่าวว่าชานกะเลเป็นยอดทหารฝีมือเอกของเจ้าฟ้าโกหร่าน เจ้าฟ้าชาวไทใหญ่ผู้ปกครองเมืองหมอกใหม่ เป็นคนรักของเจ้านางเมวดีหรือที่ชาวแม่ฮ่องสอนเรียกว่า “เจ้านางเมี๊ยะ” หลานของเจ้าฟ้าโกหร่าน) ชานกะเลเป็นคนขยัน กล้าหาญ เฉลียวฉลาด ซื่อสัตย์ อดทน หลังจากอพยพเข้ามาอาศัยที่บ้างปางหมูได้ช่วยพะกาหม่องทำไม้ด้วยความซื่อสัตย์และตั้งใจทำงานโดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยาก พะกาหม่องไว้วางใจและรักใคร่มากจึงยกบุตรสาวชื่อคำใสให้เป็นภรรยา ต่อมาภายหลังนางคำใสตาย ชานกะเลได้แต่งงานกับเจ้านางเมี๊ยะและนำครอบครัวพร้อม “ปู่โทะ” คนสนิทลงใต้ไปตั้งเมืองอยู่บนภูเขาทางเหนือต้นแม่น้ำยวม เรียกว่า เมืองกุ๋นลม (หรือขุนยวมในปัจจุบัน) ชานกะเลปกครองเมืองกุ๋นลมได้เจริญรุ่งเรือง มีการค้ากับประเทศพม่าสามารถส่งค่าตอไม้ให้นครเชียงใหม่จำนวนมาก
ไปไหนในท้องที่ แม่ฮ่องสอน