พื้นที่2819 ตารางกิโลเมตร
จำนวนประชากร 106685 ครัวเรือน
ประชากรชาย 113973
ประชากรหญิง 115985
ประชากรรวม 113973
ในเอกสารประวัติศาสตร์สะกดแตกต่างกัน 3 แบบ คือ "ตราษ" "ตราด" และ "กราด" คำว่า "ตราษ"
เป็นคำที่เก่าที่สุดเท่าที่ตรวจสอบได้จากเอกสารประวัติศาสตร์ ปรากฏในจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จ.ศ. 1206 (พ.ศ. 2387) หนังสือไปเมืองตราษว่าด้วย เกลือไม่ส่งไปเมืองพนมเปน และจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 จ.ศ. 1207 (พ.ศ. 2388) ใบบอกเรื่อง สืบราชการลับเมืองเขมร
ในสมัยรัชกาลที่ 4 พบคำว่า "ตราษ" และ "ตราด" ดังปรากฏในราชกิจจานุเบกษาตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2401–2402 ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 พบว่าเมืองตราดสะกดว่า "ตราด"
ส่วนคำว่า "กราด" พบในหนังสือ ทำเนียบหัวเมือง ตอนที่ 1–3 ร.ศ. 119 คำว่า "ตราด" หรือ "ตราษ" นี้อาจจะมีชื่อเรียกเพี้ยนมาจากภาษาเขมรเรียก ត្រាច ตฺราจ หมายถึง ยางกราด เป็นไม้พื้นเมืองในแถบนี้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศสยกดินแดน จ.ตราด รวมทั้งเมืองปัจจันตคีรี (เกาะกง) เพื่อให้ฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกจากจันทบุรี ต่อมาในวันที่ 23 มีนาคม 2499 ได้ทรงยอมยกดินแดนพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกเอาเมืองตราดและเกาะต่าง ๆ กับเมืองด่านด้านซ้ายฝั่งขวา ของแม่น้ำโขงคืนมา ชาวตราดจึงได้ถือเอาวันที่ 23 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันเอกราชของจังหวัดตราด และได้มีการจัดงาน วันตราดรำลึก ซึ่งในวันดังกล่าว ชาวตราดได้ร่วมน้ำใจกันสร้างอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด เพื่อน้อมรับรำลึดถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงรักษาเมืองตราดไว้ให้คงอยู่บนแผ่นดินไทย วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2484 ช่างระหว่างสงครามอินโดจีน กองเรื่อรบฝรั่งเศสล่วงล้ำน่านน้ำน้ำด้าน จ.ตราด กองเรือรบราชนาวีได้เข้าขัดขวาง เกิดการยิงต่อสู้กันซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปในนาม "ยุทธนาวีเกาะช้าง" โดยฝ่ายไทยสามารถขับไล่ข้าศึกให้ล่าถ่อยออกไป แต่ต้องสูญเสียเรือรบไป 3 ลำ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรี รวมทั้งทหารอีกทั้งจำนวนหนึ่ง ในวันที่ 17 มกราคม กองทัพเรือจึงถือเป็นวันทำบุญประจำปี เพื่ออุทิศส่วนกุสลแก่ทหาร เรือ ที่ได้สละชีพในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อปกป้องแผ่นดินไทยในครั้งนั้น
ไปไหนในท้องที่ ตราด