พื้นที่4363 ตารางกิโลเมตร
จำนวนประชากร 1047473 ครัวเรือน
ประชากรชาย 762141
ประชากรหญิง 796160
ประชากรรวม 762141
ดินแดนที่เรียกว่าจังหวัดชลบุรีมีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ ในปี ๒๕๒๒ ได้มีการขุดค้นทางโบราณคดีที่ ตำบลท่าข้าม อำเภอพนัสนิคม ได้พบร่องรอยของชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ โคกพนมดี คือ สิ่งที่นักโบราณคดี เรียกว่า เชลล์ มาวด์ (Shell Mould) ซึ่งที่โคกพนมดีเป็น เชลล์ มาวด์ ที่ใหญ่ที่สุดซึ่งยังไม่เคยพบในประเทศทางเอเชียอาคเนย์อื่นๆ เลย
เมืองศรีพะโร (ศรีพโล)
ตั้งอยู่บริเวณบ้านอู่ตะเภา ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี หน้าเมืองมีอาณาเขตจดที่ ตำบลบางทราย ในปัจจุบันเคยมีผู้ขุดพบโบราณวัตถุหลายอย่าง เช่น พระพุทธรูปทองคำ สัมฤทธิ์ แก้วผลึก ขันทองคำ ถ้วยชามสังคโลกคล้ายของสุโขทัย จระเข้ปูน ก้อนศิลามีรอยเท้าสุนัข เป็นต้น เมืองศรีพะโรนี้ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นเมืองในสมัยขอมเรืองอำนาจอยู่ในภูมิภาคนี้ อาจจะรุ่นราวคราวเดียวกับสมัยลพบุรีซึ่งอยู่หลังยุคอู่ทองและก่อนยุคอยุธยา คือประมาณ พ.ศ. ๑๖๐๐ - ๑๙๐๐
เมืองพระรถ
เป็นเมืองโบราณยุคเดียวกันกับเมืองศรีพะโรหรือก่อนเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะปรากฏว่ามีทางเดินโบราณติดต่อกันได้ระหว่าง ๒ เมืองนี้ ในระยะทางประมาณ ๒๐ กิโลเมตร และน่าเชื่อต่อไปว่าเมืองพระรถแห่งนี้คงอยู่ในสมัยเดียวกันกับ เมืองพระรถ หรือ เมืองมโหสถ ที่ดงศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ในปัจจุบันอีกด้วย
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ได้มีผู้ขุดพบพระพุทธรูป "พระพนัสบดี" ได้ที่บริเวณ ตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เป็นพระพุทธรูปจำหลักจากศิลาดำเนื้อละเอียด นักโบราณคดีกำหนดว่า เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี พระพุทธรูปที่มีลักษณะเช่นพระพนัสบดีนี้มีอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร หลายองค์ ทุกองค์งามสู้พระพนัสบดีองค์ที่ขุดพบนี้ไม่ได้ พระพนัสบดีมีพุทธลักษณะแปลกกว่าพระพุทธรูปอื่นๆ คือ เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนบนดอกบัวยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ จีบนิ้วพระหัตถ์ทั้งสอง เช่น พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา บนฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองมีลายธรรมจักร เบื้องพระปฤษฎางค์มีประภามณฑล ประทับยืนบนสัตว์ที่แปลกพิเศษกว่าสัตว์ทั้งหลาย เป็นภาพสัตว์ที่เกิดจากจินตนาการ ประติมากรผู้สร้างพระพุทธรูป คือ นำโค ครุฑ หงส์ มารวมเป็นสัตว์ตัวเดียวกัน สัตว์นั้นหน้าเป็นครุฑ เขาเป็นโค ปีกเป็นหงส์ โค ครุฑ หงส์ เป็นพาหนะของเทพเจ้าทั้งสาม คือ พระอิศวรทรงโค พระนารายณ์ทรงครุฑ พระพรหมทรงหงส์ เมื่อรวมเข้ากันจึงเป็นสัตว์พิเศษที่มีเขาเป็นโค มีจงอยปากเป็นครุฑและมีปีกเป็นหงส์ ผู้สร้างอาจหมายถึง พระพุทธเจ้าอาศัยศาสนาพราหมณ์ เป็นพาหนะในการประกาศพระศาสนา หรือหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงชัยชนะแล้วซึ่งศาสนาพราหมณ์ก็ได้ พระพนัสบดีที่ขุดพบนี้ สูง ๔๕ เซนติเมตร สมัยพระยาพิพิธอำพล เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นอกจากมีการขุดพบกรุพระพิมพ์เนื้อตะกั่ว สนิมแดง คราบไขขาว เมื่อ พ.ศ.2460 ที่บริเวณหน้าพระธาตุ มีพระพุทธลักษณะเช่นเดียวกับพระร่วงหลังรางปืนสวรรคโลก พระร่วงหลังลายผ้าลพบุรี เป็นพุทธศิลปะสมัยทวารวดี พระเนตรโปน ประหนึ่งตาตั๊กแตน ไม่ทรงเครื่องอลังการ พระเศียรไม่ทรงเทริด พระหัตถ์ขวาหงายทาบพระอุระ มีดอกจันทน์บนฝ่าพระหัตถ์ อาณาจักรพระเครื่องถวายนามว่า "พระร่วงหน้าพระธาตุ" มี ๒ พิมพ์ คือ ชายจีวรแผ่กว้าง และชายจีวรธรรมดา องค์พระกว้าง ๒ เซนติเมตร นับเป็นกรุพระที่เลื่องชื่อ ลือชาในอาณาจักรพระเครื่องยิ่งนัก นอกจากนั้นยังขุดพบพระพุทธรูปอีกหลายองค์ และ
พระพิมพ์เนื้อดินดิบขนาดใหญ่บริเวณหน้าพระธาตุ วัดกลางคลองหลวง ฯลฯ โบราณวัตถุที่ขุดพบส่วนใหญ่ เป็นศิลปะสมัยทวารวดี
เมืองพญาเร่
ตั้งอยู่ ตำบลบ่อทอง อำเภอบ่อทอง เป็นเมืองสมัยทวารวดีเช่นเดียวกับเมืองพระรถ ตั้งอยู่ในเขตที่สูงห่างจากเมืองพระรถ ประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ลักษณะเมืองเป็นรูปวงรี ๒ ชั้น ชั้นแรกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑,๑๐๐ เมตร ส่วนชั้นในประมาณ ๖๐๐ เมตร คูเมืองและคันดินของตัวเมืองชั้นนอกทางด้านเหนือยังเห็นได้ชัดเจน สมัยกรุงศรีอยุธยา
เมืองชลบุรีปรากฎเป็นหลักฐานในทำเนียบศักดินาหัวเมืองตราเมื่อมหาศักราช ๑๒๙๘ ตรงกับ พ.ศ.๑๙๑๙ ชลบุรีมีฐานะเป็นเมืองจัตวา ผู้รักษาเมืองเป็นที่ "ออกเมืองชลบุรีศรีมหาสมุทร" ศักดินา ๒,๔๐๐ ไร่ ส่งส่วยไม้แดงในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว) ในปี พ.ศ.๒๓๐๙ ขณะที่กรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพมาล้อมอยู่นั้น กรมหมื่นพิพิธซึ่งเป็นพระเจ้าลูกยาเธอองค์หนึ่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ถูกเนรเทศไปลังกา ได้กลับมาเกลี้ยกล่อมรวบรวมชายฉกรรจ์ทางหัวเมืองภาคตะวันออก ได้แก่ จันทบุรี ระยอง บางละมุง ชลบุรี และปราจีนบุรี เข้าร่วมกองทัพอ้างว่าจะยกไปช่วยกรุงศรีอยุธยารบพม่า ในครั้งนั้นชาวชลบุรีได้ให้การสนับสนุนเข้าร่วมในกองทัพเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเมืองชลบุรีแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง เมื่อกรมหมื่นเทพพิพิธยกไพร่พลไปตั้งมั่นที่ปราจีนบุรีแล้ว จึงมีหนังสือกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ ณ กรุงศรีอยุธยา ขออาสาช่วยป้องกันพระนคร แต่พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ทรงพระราชดำริว่า กรมหมื่นเทพพิพิธ เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงจนถูกเนรเทศ มาแล้วครั้งหนึ่ง การที่มาเรียกระดมผู้คนเข้าเป็นกองทัพโดยพลการครั้งนี้ก็เป็นการทำผิดกฎมณเทียรบาล จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาไปปราบกรมหมื่นเทพพิพิธจนบอบช้ำ จากนั้นพม่ายังได้ส่งกองทัพออกไปโจมตีกองทัพ กรมหมื่นเทพพิพิธจนแตกกระจายไป จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ ชาวจังหวัดชลบุรีได้ให้ความร่วมมือกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในการกอบกู้อิสรภาพอย่างใกล้ชิด จนสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จประพาสชลบุรีหลายครั้งหลายหน เพราะชลบุรีเป็นเมืองชายทะเลเหมาะแก่การพักผ่อน มีทัศนียภาพงดงามและไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก ในจดหมายเหตุพระราชกิจประจำวัน มีหลักฐานปรากฎชัดว่ารัชกาลที่ ๔ ๕ ๖ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จประพาสชลบุรีเมื่อไร ทรงมีพระราชกรณียกิจใดๆ บ้าง ล้วนแต่เป็นพระราชกรณียกิจพื้นฐานสร้างชลบุรีให้เจริญรุ่งเรืองมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ในสมัยกรุงรัตโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๕๐ พระสุนทรโวหาร หรือสุนทรภู่ รัตนกวีของไทยได้เดินทางจากกรุงเทพมหานคร เพื่อไปเยี่ยมบิดาที่เมืองแกลง จ.ระยอง ได้เขียนไว้ในนิราศเมืองแกลง กล่าวถึงเมืองต่างๆ เมื่อเข้าถึงเขตจังหวัดชลบุรีแล้วไปตามลำดับ จากเหนือไปใต้ คือ บางปลาสร้อย หนองมน บ้านไร่ บางพระ บางละมุง นาเกลือ พัทยา นาจอมเทียน ห้วยขวาง หนองชะแง้ว (ปัจจุบันเรียก บ้านชากแง้ว อยู่ในเขตอำเภอบางละมุง ซึ่งเป็นทางที่จะไปอำเภอแกลง จังหวัดระยองได้) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๗ ได้ทรงเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองราชอาณาจักรที่เป็นหัวเมืองต่างๆ แบบโบราณที่แยกกันอยู่ในบังคับบัญชาของ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกรมท่า ดูไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ยากแก่การปกครองดูแลให้ทั่วถึง และเสมอเหมือนกันได้ โดยให้หัวเมืองต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรขึ้นอยู่กับ กระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียวหรือหน่วยงานเดียว คือการรวบรวมหัวเมืองทั้งหลายขึ้นเป็นมณฑลนั้น สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย (พ.ศ.๒๔๓๕ - ๒๔๕๘) ได้ทรงนิพนธ์ไว้ใน "บันทึกความทรงจำ" ซึ่งมีตอนที่กล่าวถึงเมืองชลบุรไว้ว่า "รวมหัวเมืองทางลำน้ำบางปะกง คือ มืองปราจีนบุรี ๑ เมืองนครนายก ๑ เมืองพนมสารคาม ๑ เมืองฉะเชิงเทรา ๑ รวม ๔ หัวเมือง เป็นเมืองมณฑล ๑ เรียกว่า "มณฑลปราจีน" ตั้งที่ว่าการมณฑลณเมืองปราจีน (ต่อเมื่อโอนหัวเมืองในกรมท่ามาขึ้น กระทรวงมหาดไทย จึงย้ายที่ทำการมณฑลลงมาตั้งที่ เมืองฉะเชิงเทรา เพราะขยายอาณาเขตมณฑลต่อลงไปทางชายทะเล รวม เมืองพนัสนิคม เมืองชลบุรี และเมืองบางละมุง เพิ่มให้อีก ๓ รวมเป็น ๗ เมืองด้วยกัน) แต่คงเรียกชื่อว่า มณฑลปราจีน อยู่ตามเดิม"
การปกครองหัวเมือง หรือที่รู้จักในปัจจุบันว่าเป็น ราชการส่วนภูมิภาคนั้น ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงจากระบบเดิมมาเป็นระบบมณฑล หรือระบบเทศาภิบาล จริงจัง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๗ เป็นต้นมา กล่าวคือจากมณฑลแบ่งย่อยออกมาเป็นเมือง อำเภอ ตำบล หมู่บ้านโดยมีผู้ปกครองบังคับบัญชา เรียกว่า สมุหเทศาภิบาล ผู้ว่าราชการเมือง นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านตามลำดับ ครั้นถึงพ.ศ.๒๔๕๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้รวมมณฑลจัดตั้งขึ้นเป็นภาค โดยมีอุปราชเป็นผู้ปกครอง มีอำนาจเหนือสมุหเทศาภิบาล มีด้วยกัน ๔ ภาค คือ ภาคพายัพ ภาคปักษ์ใต้ ภาคอีสาน และภาคตะวันตก สำหรับภาคกลางให้คงเป็นมณฑลอยู่อย่างเดิม เรียกว่า มณฑลอยุธยา มีอุปราชปกครองแทนสมุหเทศาภิบาล การปกครองหัวเมืองแบบแบ่งเป็นภาคและมีตำแหน่งอุปราช เช่นว่านี้ ได้ยกเลิกเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๖๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ โดยกลับไปใช้ในลักษณะเป็นมณฑลอย่างเดิม ในลักษณะที่มี จำนวนมากขึ้นจนถึงสูงสุดถึง ๒๐ มณฑล และภายใน ๑๐ ปีต่อมา คือก่อน พ.ศ.๒๔๗๕ ได้ยุบและยกเลิกหลายๆ มณฑลลงเหลือเพียง ๑๐ มณฑล เป็นครั้งสุดท้าย
สรุปความเป็นมาของจังหวัดตามลำดับ ดังนี้
๑. ยุคก่อนกรุงศรีอยุธยา มีเมืองศรีพะโร และเมืองพระรถตั้งอยู่แล้ว โดยปัจจุบันยังมีหลักฐานความเป็นเมืองบางอย่างปรากฎอยู่
๒. ยุคกรุงศรีอยุธยา เมืองศรีพะโร และเมืองพระรถอาจเสื่อมไปแล้ว และมีชุมชนที่รวมกันอยู่หลายจุด ในลักษณะเป็นบ้านเมือง อาทิ บางทราย บางปลาสร้อย บางพระเรือ บางละมุง ฯลฯ เป็นต้น
๓. ยุคกรุงรัตนโกสินทร์
ช่วงแรก (ก่อน พ.ศ.๒๔๔๐ หรือ ร.ศ.๑๑๕) ช่วงนี้จังหวัดชลบุรียังไม่เกิด แต่ได้มีเมืองต่างๆ ในพื้นที่เกิดขึ้นแล้ว คือ เมืองพนัสนิคม เมืองบางปลาสร้อย และเมืองบางละมุง
ช่วงสอง ( หลัง พ.ศ.๒๔๔๐ - ๒๔๗๕) ขณะนั้นคำว่าจังหวัดมีใช้แห่งเดียวในราชอาณาจักร คือ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เข้าใจว่าคำว่า เมืองชลบุรีมีชื่อเรียกในช่วงนี้ โดยมีอำเภอเมืองบางปลาสร้อย (ที่ตั้งตัวเมือง) อำเภอพานทอง อำเภอบางละมุง อำเภอพนัสนิคม อยู่ในเขตการปกครองในระยะต้น และในระยะหลังปี ๒๔๖๐ มีอำเภอศรีราชา ฯลฯ เกิดขึ้นรวมอยู่ในเขตเมืองชลบุรีตามมา
ช่วงสาม (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๕ - ปัจจุบัน) มีการเปลี่ยนแปลงในรูปการปกครองประเทศครั้งใหญ่ โดยพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.๒๔๗๖ ได้ยกเลิกเขตการปกครองแบบเมืองทั่วราชอาณาจักร แล้วตั้งขึ้นเป็นจังหวัดแทน มีข้าหลวงประจำจังหวัด เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา เมืองชลบุรีจึงเป็น จังหวัดชลบุรี (แต่เปลี่ยนข้าหลวงประจำจังหวัดเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด)
เหตุการณ์สำคัญ
๑. ในหนังสือชลบุรี ภาคต้นของกรมศิลปากร พิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๓ หน้า ๗-๑๐ ได้บรรยายถึงชลบุรีสมัยกู้ชาติไว้ ดังนี้
เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าล้อมใน พ.ศ.๒๓๐๙ กรมหมื่นเทพพิพิธพยายามเกลี้ยกล่อมชาวหัวเมืองตะวันออก ตั้งแต่เมืองจันทบุรี ตลอดถึงปราจีนบุรีเข้ากองทัพด้วยหวังว่าจะยกไปช่วยกรุงศรีอยุธยารบพม่า ชาวชลบุรีก็เต็มใจสนับสนุน พาสมัครพรรคพวกเข้ากองทัพกรมหมื่นเทพพิพิธเป็นอันมาก จนแทบจะทิ้งให้ชลบุรีเป็นเมืองร้าง ขณะนั้น พระยาแม่กลอง (เสม) เป็นข้าหลวงออกไปเร่งส่วยหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก พักค้างอยู่เมืองชลบุรี ไม่ยินดีเข้าร่วมมือในกรมหมื่นเทพพิพิธ พยายามรักษาเงินส่วยที่เก็บรวบรวมได้มานั้นแอบแฝงหลบภัยอยู่ในชลบุรี ครั้งกรมหมื่นเทพพิพิธยกกองทัพไปตั้งมั่นที่เมืองปราจีนบุรี บอกเข้าไปยังกรุงให้กราบบังคมทูลขออาสาเป็นผู้ป้องกันพระนคร ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระราชดำริเห็นว่า กรมหมื่นเทพพิพิธ ทำการซ่องซุมกำลังโดยบังอาจ แล้วยังทนงเอื้อมเข้าไปขอป้องกันกรุงด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง ชรอยจะมีความไม่สุจริตเคลือบแฝงอยู่ด้วย จึงโปรดให้กองทัพออกไปปราบกรมหมื่นเทพพิพิธกลับต่อสู้กองทัพกรุงรบบุกบั่นผลัดกันแพ้ชนะ จนกำลังย่อยยับลงทั้งสองฝ่าย ครั้นพม่าล้อมกรุงกระชั้นชิดมั่นคงแล้ว ได้ทราบว่ากรมหมื่นเทพพิพิธยังตั้งทัพประจัญอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี พม่าจึงส่งกองทัพออกไปตี เพราะทัพกรมหมื่นเทพพิพิธบอบช้ำอยู่แล้ว ถูกกองทัพพม่าซ้ำเติมจึงพาลแตกเอาง่ายๆ ผู้คนล้มตายมากต่อมากที่ยังเหลือก็กระจัดพรัดพรายไม่เป็นส่ำ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้เมืองฉะเชิงเทราและเมืองชลบุรีต้องร้างอยู่ชั่วคราว ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าตากสิน เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็น พระยากำแพงเพ็ชร ทรงพาพรรคพวกออกไปหากำลังทางหัวเมืองภาคตะวันออก เดินทางผ่านเมืองชลบุรีซึ่งขณะนั้นว่างร้างเสียแล้ว เสด็จเลยไปประทับแรมบางละมุง และเสด็จต่อไปยังเมืองระยอง ในระหว่างประทับอยู่ที่เมืองระยอง กรมการเมืองระยองมีขุนรามหมื่นซ่องเป็นหัวหน้า คิดประทุษร้ายยกพวกลอบมาปล้นค่ายในเวลากลางคืน สมเด็จพระเจ้าตากสินต่อสู้ป้องกันปราบพวกคิดร้ายแตกกระจายไป แต่พวกนั้นยังไม่เลิกพยายามที่จะคิดกำจัด จึงแยกออกเป็น ๒ หน่วย ขุนรามหมื่นซ่อง คุมหน่วยหนึ่งไปตั้งระหว่างทางจากระยองไปเมืองจันทบุรี นายทองอยู่ นกเล็ก คุมหน่วยหนึ่ง เล็ดลอดมาตั้งซ่องสุมอยู่บางปลาสร้อย เมืองชลบุรี ทั้งสองหน่วยนี้คงจะมุ่งหมายช่วยกันตีกระหนาบกองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสิน แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินรีบเสด็จไปทำลายกำลังขุนรามหมื่นซ่องเสียก่อน แล้วเสด็จวกกลับมาเมืองชลบุรี เพื่อจะปราบ นายทองอยู่ นกเล็ก ให้สิ้นฤทธิ์ (บริเวณที่ตั้งค่ายของสมเด็จพระเจ้าตากสินครั้งนั้น บัดนี้เรียกเป็นชื่อ หมู่บ้าน และชื่อสะพาน คือ บ้านในค่าย และ สะพานหัวค่าย) ฝ่ายนายทองอยู่ นกเล็ก ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีจึงโปรดให้ช่วยรักษาเมืองชลบุรี เพื่อราษฎรจะได้ทำมาหากินเป็นกำลังให้แก่ บ้านเมือง และคอยช่วยปราบพวกสลัดซึ่งเวลานั้นชุกชุมที่สุด ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าใครสมัครเข้ากองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสิน ให้นายทองอยู่ นกเล็ก ช่วยสนับสนุนอย่ากีดกัน เมื่อทรงจัดที่ชลบุรีเสร็จแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จยกทัพไปเมืองระยองแล้วต่อไปยังเมืองจันทบุรี ตั้งรวบรวมกำลังอย่างรีบร้อน ฝ่ายนายทองอยู่ นกเล็ก ชั้นต้นก็ปฏิบัติตามพระบัญชา แต่ต่อมากลับเหลวไหลด้วยเป็นใจพวกสลัดและคอยขัดขวางมิให้ใครๆ ไปสมัครเข้ากองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินโดยสะดวก ครั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงตระเตรียมกำลังได้เพียงพอสำหรับยกกลับไปปราบพม่าที่ยึดกรุงเก่า แล้วเคลื่อนกองทัพออกจากเมืองจันทบุรี ตรวจกวาดล้างสลัดทะเลฝั่งตะวันออกตลอดมาถึงชลบุรีได้ความว่านายทองอยู่ นกเล็ก และพวกกลับประพฤติการร้ายหากำลังโดยทุจริต มิได้คิดปลูกเลี้ยงชาวเมืองให้เป็นปึกแผ่นตามสมควรแก่หน้าที่ตามที่ทรงมอบหมายไว้ จึงโปรดให้ปลดนายทองอยู่ นกเล็ก และพวกออกหมด แต่จะทรงพระกรุณาให้ผู้ใดรักษาเมืองแทนต่อจากนายทองอยู่ นกเล็กยังไม่ได้ความมาปรากฎเมื่อตอนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินว่า พระยาชลบุรี (บุตรเจ้าพระยาจักรี (หมุด) ต้นสกุลสมุทรานนท์ สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีคนแรกสมัยกรุงธนบุรี) เป็นผู้รักษาเมือง ข้อน่ายินดีสำหรับชาวชลบุรี ในครั้งนั้นก็คือ ได้มีส่วนเข้ากองทัพทำการรบกู้ชาติไทยเป็นประวัติอันเพียบพร้อมด้วยเกียรติยศอันสูงสุดที่บุตรหลานชาวชลบุรีจะพึงระลึกถึงด้วยความปลาบปลื้ม และช่วยกันรักษาไว้ให้เป็นคุณแก่ชาติบ้านเมืองทุกเมื่อ
๒. เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๕ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงมีพระประสูติกาล ประสูติพระโอรส ณ พระตำหนักบนเกาะสีชัง พระราชทานนามว่า "เจ้าฟ้าจุฑาธุชราชดิลก" และขนานนามที่เกาะสีชังว่า "พระราชวังจุฑาธุชราชฐาน" ขนานนามพระอารามซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นใหม่ว่า "วัดจุฑาธุชธรรมสภา" เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๗ ได้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ตามสมควรแก่พระเกียรติยศเจ้าฟ้าพระนามพระสุพรรณบัฏ เฉลิมพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย" (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมขุนเพ็ชรอินทราชัย)
ไปไหนในท้องที่ ชลบุรี